วิชา LAW 2107 กฎหมายอาญา 2 (นิติศาสตร์รามคำแหง)วางหลักและคำอธิบายหลักกฎหมาย
ประมวลกฎหมายอาญา
เรื่อง ดูหมิ่นเจ้าพนักงาน
มาตรา 136 ผู้ใดดูหมิ่นเจ้าพนักงานซึ่งกระทำการตามหน้าที่ หรือเพราะได้กระทำการตามหน้าที่ ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหนึ่งปี หรือปรับไม่เกินสองหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
ความผิดฐานดูหมิ่นเจ้าพนักงานตามมาตรา 136
มีองค์ประกอบของความผิดดังนี้
1.ดูหมิ่น
2.เจ้าพนักงาน (ต้องเป็นเจ้าพนักงานที่มีหน้าที่โดยตรง)
3.ซึ่งกระทำตามหน้าที่,หรือเพราะได้กระทำการตามหน้าที่
4.โดยเจตนา (ต้องมีเจตนาประสงค์ต่อผลหรือเล็งเห็นผล)
คำอธิบายหลักกฎหมาย
ตามประมวลกฎหมายอาญา ความผิดฐานดูหมิ่นเจ้าพนักงานตามมาตรา 136 เห็นว่า
การดูหมิ่น หมายถึง การด่า ดูถูกเหยีดหยามหรือสบประมาทให้อับอาย หากเป็นคำท้าทาย คำกล่าวไม่สุภาพ คำเปรียบเปรย ประชดประชันตัดพ้อต่อว่าไม่เป็นการดูหมิ่น เป็นเจ้าพนักงานซึ่งกระทำการตามหน้าที่หรือเพราะได้กระทำตามหน้าที่โดยตรงตามกฎหมาย เพราะได้กระทำตามหน้าที่นั้น หมายถึง ดูหมิ่นโดยมีสาเหตุมาจากเจ้าพนักงานเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่นั้น การดูหมิ่นเจ้าพนักงานนั้นจะกระทำซึ่งหน้าหรือลับหลังก็ได้
********************************************************************************************************************************
ประมวลกฎหมายอาญา
เรื่อง แจ้งความเท็จแก่เจ้าพนักงาน
มาตรา 137 ผู้ใดแจ้งข้อความอันเป็นเท็จแก่เจ้าพนักงาน ซึ่งอาจทำให้ผู้อื่นหรือประชาชนเสียหาย ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหกเดือน หรือปรับไม่เกินหนึ่งหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
ความผิดฐานแจ้งข้อความอันเป็นเท็จแก่เจ้าพนักงานตามมาตรา 137
มีองค์ประกอบความผิดดังนี้
1.แจ้งข้อความอันเป็นเท็จ
2.แก่เจ้าพนักงาน
3.ซึ่งอาจทำให้ผู้อื่นหรือประชาชนเสียหาย
4.โดยเจตนาประสงค์ต่อผลหรือเล็งเห็นผล
คำอธิยายหลักกฎหมาย
ตามประมวลกฎหมายอาญา ความผิดฐานแจ้งข้อความอันเป็นเท็จแก่เจ้าพนักงานตามมาตรา 137 เห็นว่า
1.แจ้งข้อความหมายถึง การกระทำด้วยประการใดๆให้เจ้าพนักงานได้ทราบข้อเท็จจริงนั้นอาจกระทำโดยวาจา โดยการเขียนเป็นหนังสือ โดยการแสดงกริยาท่าทางอย่างใดก็ได้
2.ข้อความอันเป็นเท็จหมายถึง ข้อความที่นำไปแจ้งไม่ตรงกับความจริงเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในอดีตหรือปัจจุบัน โดย ผู้แจ้งไปแจ้งต่อเจ้าพนักงานเองหรือได้ตอบคำถามที่เจ้าพนักงานเรียกไปสอบสวนเป็นพยานก็ได้ การแจ้งข้อความอันเป็นเท็จบางส่วนความจริงบางส่วนย่อมถือว่าเป็นการแจ้งความเท็จแล้ว การแจ้งข้อความเท็จที่จะถือว่าเป็นความผิดสำเร็จนั้น เจ้าพนักงานผู้รับแจ้งต้องได้ทราบข้อความที่แจ้งนั้นด้วยแม้เจ้าพนักงานจะไม่เชื่อก็ตาม
3.แก่เจ้าพนักงาน หมายถึง เจ้าพนักงานผู้รับแจ้งข้อความต้องมีอำนาจหน้าที่รับแจ้งข้อความและดำเนินการตามเรื่องราวที่แจ้งนั้นโดยตรงและต้องกระทำไปตามอำนาจหน้าที่โดยชอบด้วยกฎหมาย
4.ซึ่งอาจทำให้ผู้อื่นหรือประชาชนเสียหาย การแจ้งข้อความอันเป็นเท็จนั้นอาจทำให้ผู้อื่นหรือประชาชนเกิดความเสียหาย ถ้าไม่อาจเกิดความเสียหายขึ้นได้จากการแจ้งข้อความอันเป็นเท็จนั้นก็ไม่ผิดมาตรานี้ อาจทำให้เสียหายหมายคววามว่า ไม่จำเป็นต้องเกิดความเสียหายขึ้นแล้วจริงๆเพียงแต่อาจเกิดความเสียหายขึ้นได้ก็เป็นความผิดแล้ว
******************************************************************************************************************************
ประมวลกฎหมายอาญา
เรื่อง ต่อสู้หรือขัดขวางเจ้าพนักงาน
มาตรา 138 วรรคหนึ่ง ผู้ใดต่อสู้ หรือขัดขวางเจ้าพนักงานหรือผู้ซึ่งต้องช่วยเจ้าพนักงานตามกฎหมายในการปฏิบัติการตามหน้าที่ ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหนึ่งปี หรือปรับไม่เกินสองหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
วรรคสอง ถ้าการต่อสู้หรือขัดขวางนั้น ได้กระทำโดยใช้กำลังประทุษร้ายหรือขู่เข็ญว่าจะใช้กำลังประทุษร้าย ผู้กระทำต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสองปี หรือปรับไม่เกินสี่หมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
ความผิดฐานต่อสู้หรือขัดขวางเจ้าพนักงานตามมาตรา 138 วรรคหนึ่งนั้น
มีองค์ประกอบความผิด ดังนี้คือ
1.ต่อสู้หรือขัดขวาง
2.เจ้าพนักงานตามกฎหมาย (ต้องเป็นเจ้าพนักงานจริงๆ) หรือผู้ซึ่งต้องช่วยเจ้าพนักงานตามกฎหมายในการปฏิบัติตามหน้าที่
3.โดยเจตนา (มีเจตนาประสงค์ต่อผลหรือเล็งเห็นผล)
ต่อสู้ หมายถึง การใช้กำลังขัดขืนเพื่อไม่ให้การกระทำของเจ้าพนักงานสำเร็จผล เช่น การสะบัดมือให้พ้นจากการจับกุม หรือ ดิ้นจากการจับกุมจนหลุด
ขัดขวาง หมายถึง การกระทำด้วยประการใดๆ ที่ก่อให้เกิดอุปสรรคในการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าพนักงานหรือทำให้การปฏิบัติหน้าที่เป็นไปด้วยความยากลำบาก เพื่อไม่ให้การปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าพนักงานนั้นประสบความสำเร็จ โดยการกระทำที่จะเป็นความผิดตามมาตรา 138 นั้นจะเป็นการต่อสู้อย่างเดียวหรือขัดขวางอย่างเดียวหรืออาจเป็นทั้งต่อสู้และขัดขวางก็ได้ผิดมาตรานี้
**********************************************************************************************************************************
ประมวลกฎหมายอาญา
เรื่อง ความผิดฐานเป็นคนกลางเรียกรับสินบน
มาตรา 143 ผู้ใดเรียก รับหรือยอมจะรับทรัพย์สิน หรือประโยชน์อื่นใดสำหรับตนเองหรือผู้อื่น เป็นการตอบแทนในการที่จะจูงใจหรือได้จูงใจเจ้าพนักงาน สมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งรัฐ สมาชิกสภาจังหวัดหรือสมาชิกสภาเทศบาลโดยวิธีอันทุจริตหรือผิดกฎหมายหรือโดยอิทธิพลของตนให้กระทำการ หรือไม่กระทำการในหน้าที่อันเป็นคุณหรือเป็นโทษแก่บุคคลใด ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินห้าปี หรือปรับไม่เกินหนึ่งแสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
ความผิดฐานเป็นคนกลางเรียกรับสินบนตามมตรา 143
มีองค์ประกอบความผิดดังนี้
1.เรียก รับ หรือยอมจะรับทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใดสำหรับตนเองหรือผู้อื่น
2.เพื่อเป็นการตอบแทนในการที่จะจูงใจหรือได้จูงใจเจ้าพนักงาน สมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งรัฐ สมาชิกสภาจังหวัด หรือ สมาชิกสภาเทศบาล
3.โดยวิธีอันทุจริตหรือผิดกฎหมายหรือโดยอิทธิพลของตน
4.ให้กระทำการหรือไม่กระทำการในหน้าที่อันเป็นคุณหรือเป็นโทษแก่บุคคลใด
5.กระทำโดยมีเจตนาประสงค์ต่อผลหรือเล็งเห็นผล
คำอธิบายหลักกฎหมาย
ตามประมวลกฎหมายอาญา ความผิดฐานเป็นคนกลางเรียกหรือรับสินบนตามมาตรา 143 นั้น เห็นว่า
1.เรียก หมายถึง การแสดงเจตนาให้บุคคลอื่นส่งทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใดให้แม้บุคคลนั้นจะยังไม่ได้ส่งทรัพย์สิน( ป.พ.พ.ม.138 ) หรือประโยชน์อื่นใด (สิ่งที่เป็นคุณกับผู้เรียก) ให้ก็ถือว่าเป็นความผิดสำเร็จแล้ว
2.รับ หมายถึง การที่บุคคลอื่นเสนอจะให้ทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใดแก่ผู้รับและผู้รับได้รับเอาทรัพย์สินหรือประโยชน์นั้นไว้แล้ว
3.ยอมจะรับ หมายถึง การที่บุคคลอื่นเสนอจะให้ทรัพย์สินทร์หรือประโยชน์แก่ผู้กระทำและผู้กระทำตกลงยอมจะรับในขณะนั้นหรือในอนาคต แต่ยังไม่ได้รับ
4.ให้กระทำการหรือไม่กระทำการในหน้าที่ ต้องเป็นหน้าที่โดยตรงของเจ้าพนักงานนั้น
*******************************************************************************************************************
ประมวลกฎหมายอาญา
เรื่อง ให้สินบนแก่เจ้าพนักงาน
มาตรา 144 ผู้ใดให้ ขอให้หรือรับว่าจะให้ทรัพย์สิน หรือประโยชน์อื่นใดแก่เจ้าพนักงาน สมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งรัฐ สมาชิกสภาจังหวัดหรือสมาชิกสภาเทศบาล เพื่อจูงใจให้กระทำการ ไม่กระทำการ หรือประวิงการกระทำอันมิชอบด้วยหน้าที่ ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินห้าปี หรือปรับไม่เกินหนึ่งแสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
ความผิดฐานให้สินบนแก่เจ้าพนักงานตามมตรา 144
มีองค์ประกอบของความผิดดังนี้
1.ให้,ขอให้,หรือรับว่าจะให้
2.ทรัพย์สิน,หรือประโยชน์อื่นใด
3.แก่เจ้าพนักงาน,สมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งรัฐ,สมาชิกสภาจังหวัด,สมาชิกสภาเทศบาล
4.เพื่อจูงใจให้กระทำการ,ไม่กระทำการ,หรือประวิงการกระทำอันมิชอบด้วยหน้าที่
5.โดยเจตนา (เจตนาประสงค์ต่อผลหรือเล็งเห็นผล)
คำอธิบายหลักกฎหมาย
ตามประมวลกฎหมายอาญา ความผิดฐานให้สินบนแก่เจ้าพนักงานตามมตรา 144 เห็นว่า
ให้ หมายถึง การที่ยอมมอบซึ่งทรัพย์สินต่อบุคคลอื่น ขอให้หมายถึง การที่ขอแล้วจะยอมมอบซึ่งทรัพย์สินให้ภายหลัง รับว่าจะให้ ตกลงว่าจะมอบซึ่งทรัพย์สิน แก่เจ้าพนักงานหมายถึง เจ้าพนักงานโดยทั่วๆไปไม่รวมถึงตุลาการ อัยการ พนักงานสอบสวน ( ซึ่งจะเป็นความผิดต่างหากตามมาตรา 167 )
อันมิชอบด้วยหน้าที่ ต้องเป็นหน้าที่โดยตรงของเจ้าพนักงานด้วย
***************************************************************************************************************************
ประมวลกฎหมายอาญา
เรื่อง เจ้าพนักงานเรียกหรือรับสินบน
มาตรา 149 ผู้ใดเป็นเจ้าพนักงาน สมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งรัฐ สมาชิกสภาจังหวัด หรือสมาชิกสภาเทศบาล เรียก รับ หรือยอมจะรับทรัพย์สิน หรือประโยชน์อื่นใดสำหรับตนเองหรือผู้อื่นโดยมิชอบ เพื่อกระทำการหรือไม่กระทำการอย่างใดในตำแหน่งไม่ว่าการนั้นจะชอบหรือมิชอบด้วยหน้าที่ ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ห้าปีถึงยี่สิบปี หรือจำคุกตลอดชีวิต และปรับตั้งแต่หนึ่งแสนบาทถึงสี่แสนบาท หรือประหารชีวิต
ความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงานรับสินบนตามมาตรา 149
มีองค์ประกอบความผิดดังนี้
1.เป็นเจ้าพนักงาน,สมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งรัฐ,สมาชิกสภาจังหวัด,สมาชิกสภาเทศบาล
2.เรียก,รับ,หรือยอมจะรับทรัพย์สิน,หรือประโยชน์อื่นใดสำหรับตนเอง,หรือผู้อื่นโดยมิชอบ
3.เพื่อกระทำการ,หรือไม่กระทำการ,อย่างใดในตำแหน่งไม่ว่าการนั้นจะชอบหรือมิชอบด้วยหน้าที่
4.โดยเจตนา (เจตนาประสงค์ต่อผลเจตนาเล็งเห็นผล)
คำอธิบายหลักกฎหมาย
ตามประมวลกฎหมายอาญา ความผิดฐานเจ้าพนักงานเรียกหรือรับสินบนตามมาตรา 149 นั้น เห็นว่า
1.เรียก หมายถึง การที่เจ้าพนักงานแสดงเจตนาให้บุคคลอื่นส่งทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใดให้ แม้บุคคลนั้นจะยังไม่ได้ส่งทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใดให้ก็ถือว่าเป็นความผิดสำเร็จแล้ว
2.รับ หมายถึง การที่บุคคลอื่นให้ทรัพย์สินหรือประโยชน์แก่เจ้าพนักงานและเจ้าพนักงานได้รับเอาทรัพย์สินหรือประโยชน์นั้นไว้แล้ว
3.ยอมจะรับ หมายถึง การที่บุคคลอื่นเสนอจะให้ทรัพย์สินหรือประโยชน์แก่เจ้าพนักงานและเจ้าพนักงานตกลงยอมจะรับในขณะนั้นหรือในอนาคตแต่ยังไม่ได้รับ
การเรียก รับ หรือยอมจะรับทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใดจะเป็นความผิดตามมาตรา 149 นั้น ผู้กระทำจะต้องมีเจตนาตามมาตรา 59 คือ รู้ว่าตนได้เรียก รับ หรือยอมจะรับทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใดสำหรับตนเองหรือผู้อื่นโดยมิชอบแล้ว
4. ผู้กระทำจะต้องมีเจตนาพิเศษประกอบด้วย ดังนี้
1.เพื่อกระทำการอย่างใดในตำแหน่ง ไม่ว่าการนั้นจะชอบหรือไม่ชอบด้วยหน้าที่
2.เพื่อไม่กระทำการอย่างใดในตำแหน่ง ไม่ว่าการนั้นจะชอบหรือไม่ชอบด้วยหน้าที่
****************************************************************************************************************************
ประมวลกฎหมายอาญา
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น